ชื่อวิทยาศาสตร์
กระดองูดำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Gymnostachyum decurrens Stapf
วงศ์ Acanthaceae
นิเวศวิทยา กระดองูดำ
ถิ่นอาศัยของต้นกระดองูดำ พบทางภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคใต้ ตามที่เปิดโล่งหรือตามซอกหินปูน ป่าดิบแล้ง ป่าดิบขึ้น และป่าผสมผลัดใบ ที่สูงจากระดับทะเลปานกลาง 200-600 ม.
ออกดอกเดือนไหน
![ดอกกระดองูดำ](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfc9K5AZy6NTguYbfZUISKGlBEak_1r0lhPnINNfDuKhykvEZkhopHq9Vusc0CKOsIVIs8wavF4TaCovRDwFqOrTHNot9uSZhwjJKuUMdP_8N8-NwuEQ4JdATpINJzK8iyGnlu0bCRPKcjv0ys9vph6GAdK6E8RTOMdC1G_Bagwhey16Cl2b9GzRn_LiQ/s1600-rw/Gymnostachyum-decurrens.jpg)
ดอกกระดองูดำ ออกดอกและเป็นผล ในช่วงเดือนธันวาคม - พฤษภาคม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้นกระดองูดำ มีลักษณะวิสัยเป็นไม้ล้มลุก สูง 20-50 ซม. ลำต้นเดี่ยวหรือแตกกิ่งสั้น ๆ กิ่งเป็นเหลี่ยมถึงกลม สีน้ำตาลดำ ข้อบวมพอง กิ่ง มีขนประปราย ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก เรียง เป็นกระจุกใกล้พื้นดิน รูปไข่ กว้าง 5-7.5 ซม. ยาว 5-10 ซม. ปลายแหลมหรือมน โคนมนหรือเว้ารูปหัวใจ เล็กน้อย ขอบเรียบ มีขนครุย แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ ค่อนข้างเกลี้ยง เส้นแขนงใบข้างละ 4-6 เส้น โคนใบ แผ่เป็นครีบ มีขนประปราย
ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ออกที่ปลายกิ่ง มีดอกจำนวนมาก กลีบเกลี้ยงโคนเชื่อม ติดกันเป็นรูปถ้วยตื้น ๆ ปลายแยก 4-5 แฉก รูปแถบ ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบมีขนสั้น
![ดอกกระดองูดำ](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjV1XwMXT5WlQ3_PbxWvGPslM-1vxXUL5MLx8ufFGzQQY-9qnVB-sWxr-MQsxxH469tW8fyE4h3sD_mSpViDNQkK4Qylh6Y_497BM1UgPp2EmafYN0Qa3UXN0h1y3ukXZrGGMsDc3zZW9AF7z-wA8wME8XVsPykvTRcNbHUXAi4ymrp1FEgSdBFuxGJ_DI/s1600-rw/Gymnostachyum-decurrens1.jpg)
กลีบดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดปลายแยกเป็นรูปปากเปิด แยกเป็น 2 ซีก ซีกบน ส่วนปลายแยกเป็นแฉกตื้น ๆ 2 แฉก ซีกล่าง มีแถบสีขาว ส่วนปลายแยกเป็น 3 แฉก แฉกกลาง รูปสามเหลี่ยม สีม่วง มีขนาดสั้นกว่าแฉกคู่ข้าง ด้าน นอกสีขาวมีขนสั้นนุ่มประปราย
เกสรเพศผู้ 2 เกสร ก้านชูอับเรณู มีขนประปราย รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มี 2 ช่อง แต่ละช่องมืออวุล 2 เม็ด ก้านยอดเกสร เพศเมียเรียวยาว มีขนประปรายยอดเกสรเพศเมีย แยกเป็น 2 แฉก
ผลแบบผลแห้งแตก รูปทรงกระบอก แกมสันสี่เหลี่ยม เมล็ดมี 9-30 เมล็ด สีน้ำตาลดำ ขนาดเล็ก
การกระจายพันธุ์
การแพร่กระจายของกระดองูดำ ในต่างประเทศพบที่คาบสมุทรมลายู
ที่มาข้อมูลและภาพ : หนังสือพรรณไม้ในพื้นที่โครงการอุทยานธรรมชาติวิทยาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี